บทสัมภาษณ์ – ด.ญ.สริตา ชอบสอาด นักเรียนทุน N.I.Y.E 2016

0
1248

ญี่ปุ่น…ครั้งที่พิเศษกว่าครั้งไหนๆ

ด.ญ. สริตา ชอบสอาด (แจมมี่)

ยอมรับตามตรงว่าตอนแรกก็ไม่ได้คาดหวังว่าจะเข้าร่วมโครงการนี้หรอกค่ะ เพียงแต่อยากลองสมัครสอบไปเรื่อยๆเพื่อทดสอบตัวเองเฉยๆว่าทำได้มากน้อยแค่ไหน แต่พอได้ไปอยู่ที่ญี่ปุ่นกับเพื่อนๆ ได้เจอเพื่อนใหม่ ได้สนิทกับเพื่อนเก่ามากขึ้นก็รู้สึกดีและไม่ผิดหวังเลยค่ะที่เลือกไปโครงการนี้

11 ตุลาคม 2559 จากวันแรกที่เดินทางไปถึงสนามบินนาโกยา(NagoyaAirport)พร้อมเพื่อนๆคนไทยและครูผู้ดูแล ดิฉันเริ่มมีความรู้สึกกลัวและมีความรู้สึกว่าสิบวันต่อไปนี้จะต้องเป็นสิบวันที่ตึงเครียดและไม่มีความสุขแน่ๆ หลังจากที่เพื่อนๆกลุ่มอินโดนิเซียเดินทางมาถึงสนามบิน ผู้ดูแลจากโนริคูระก็พาพวกเราก็เริ่มออกเดินทางไปยังศูนย์เยาวชนโนริคูระ ประจำเมืองทาคายะมา (Norikura Youth Center) ใช้เวลาเดินทางประมาณ 4 ชั่วโมง ระหว่างทางพวกเราก็มีหยุดพักทานข้าวกลางวัน ซึ่งก็เรียกได้ว่าเป็นมื้อแรกของการมาญี่ปุ่นทริปนี้ของดิฉัน มันเป็นข้าวกล่องค่ะหรือที่คนญี่ปุ่นเรียกว่าเบนโตะนั่นเอง ในเบนโตะกล่องนั้นเป็นแซนวิชไข่ค่ะ รสชาติมันค่อนข้างจะแปลกและเป็นที่ไม่คุ้นชินของพวกเราซักเท่าไหร่ เบนโตะกล่องนั้นจึงเป็นอาหารมื้อแรกที่ดิฉันจำไม่ลืมเลยค่ะ เมื่อพวกเราเดินทางไปถึงที่ศูนย์เยาวชนโนริคูระแล้ว ผู้ดูแลของพวกเราหรือคุณนิอิ-ทซึ (Niitsu Sense ซึ่งดิฉันกับเพื่อนๆเรียกคุณลุงค่ะ) คุณลุงพาพวกเราไปเก็บกระเป๋าเดินทางและสอนทำที่นอนแบบคนญี่ปุ่นที่ห้องนอนพวกเรา จากนั้นก็พาชมบริเวณรอบๆของโนริคูระค่ะ ไม่ว่าจะเป็นห้องอาหาร โรงยิม ห้องทำงานของพนักงานโนริคูระสำหรับขอความช่วยเหลือต่างๆ รวมไปถึงห้องซักผ้าและสถานที่ต่างๆอีกมากมายในโนริคูระ อาหารเย็นมื้อแรกของพวกเราที่โนริคูระอร่อยมากๆมีหลากหลายอย่างให้เลือกทานแบบบุฟเฟ่ต์ค่ะ แต่ที่ติดใจพวกเรามากที่สุดก็น่าจะเป็นกะหล่ำปลีหั่นเป็นฝอยๆค่ะ กลับมาแล้วยังคิดถึงไม่หายเลย ห้องอาบน้ำที่โนริคูระก็เป็นที่น่าตื่นตาตื่นใจพวกเรามากค่ะ คนญี่ปุ่นเรียกห้องอาบน้ำแบบนี้ว่าโอฟูโระ (Ofuro) เป็นห้องอาบน้ำรวมมีอ่างน้ำร้อนรวมอยู่กลางห้องให้แช่ร่วมกัน เพื่อนๆบางคนอาจจะเคอะเขินในคืนแรกๆอยู่บ้างแต่เมื่อเวลาผ่านไป พวกเราก็ค่อยๆซึมซับวัฒนธรรมของที่นี่ไปเอง คืนแรกที่โนริคูระผ่านไปได้ด้วยดีค่ะ พวกเรากับเพื่อนชาวอินโดนิเซียเริ่มคุยสนุกและสนิทกันมากขึ้น รู้ตัวอีกทีก็ผ่านไปหนึ่งวันแล้วค่ะกับทริปในความทรงจำนี้

12 ตุลาคม 2559 เช้าวันต่อมา พวกเราตื่นนอนกันตั้งแต่เวลา 06:30 น.ค่ะ ที่ศูนย์เยาวชนโนริคูระมีเพลงปลุกในตอนเช้าด้วยนะคะ เพลงที่ดิฉันได้ฟังบ่อยๆก็เพลงโตโตโร่เนี่ยล่ะค่ะ แต่สำหรับดิฉันแล้วมันไม่ค่อยจะได้ผลซักเท่าไหร่หรอกค่ะ เพราะดิฉันก็สามารถนอนต่อได้อยู่ดี เมื่อทานอาหารเช้าเสร็จก็ถึงเวลาออกเดินทางไปที่ว่าการอำเภอทากายามะ พวกเราได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดีจากนายกเทศบาลเมืองทากายามะหรือถ้าเทียบกับประเทศไทยแล้วก็ประมาณนายอำเภอค่ะ จากนั้นคุณลุงก็พาพวกเราไปเที่ยวชมหมู่บ้านชิราคาวาโกะ (Shirakawago) หมู่บ้านมรดกโลกอันโด่งดังประจำเมืองจิฟุ (Gifu) อาหารกลางวันของวันนี้ก็เป็นอีกอย่างที่น่าสนใจค่ะ เพราะพวกเราได้ทานโฮบะมิโซะ (Hobamiso) อาหารย่างบนใบแมกโนเลีย(Magnolia) และโซบะฮิดะ (Sobahida) โซบะสูตรของเมืองฮิดะ ทากายามะ ซึ่งทั้งสองอย่างเป็นอาหารขึ้นชื่อของที่นี่เลยค่ะ ถ้าไม่ได้ลองทานนี่เหมือนยังมาไม่ถึงเลยนะคะ หลังจากเที่ยวชมหมู่บ้านชิราคาวาโกะไปพอสมควรแล้วคุณลุงก็พาพวกเรานั่งรถบัสกลับไปที่ศูนย์เยาวชนโนริคูระ ระหว่างทางนั้นวิวสวยมากเลยค่ะ บริเวณโดยรอบปกคลุมไปด้วยภูเขาและอากาศยังดีอีกด้วย เมื่อกลับไปถึงศูนย์เยาวชนพวกเราก็ได้รับฟังการบรรยายจากคุณทานากะกรรมการบริหารฝ่ายกลยุทธ์การตลาดประจำเมืองฮิดะ ทากายามะค่ะ พวกเราได้รับความรู้และของที่ระลึกมากมายจากคุณทานากะ วันนี้จึงนับเป็นอีกหนึ่งวันที่สนุกและเหนื่อยสุดๆไปเลยล่ะค่ะ

13 ตุลาคม 2559 เช้าวันที่สามของทริปนี้ พวกเราได้ไปร่วมเคารพธงชาติกับออกกายบริหารร่วมกับเด็กนักเรียนประถมและมัธยมต้นที่มาทำกิจกรรมที่ศูนย์เยาวชนโนริคูระ เมื่อเสร็จจากกิจกรรมช่วงเช้าแล้ว นักเรียนไทยหกคนก็ร่วมออกเดินทางไปโรงเรียนมัธยมคุกูโนะ (Kuguno Junior High School) พวกเราได้เข้าร่วมพิธีต้อนรับ พวกเราได้ชมเด็กนักนักเรียนญี่ปุ่นแสดงเคนโด้ (Kendo) และร้องเพลงประสานเสียง ทางเด็กนักเรียนไทยก็แสดงระบำดอกบัวให้พวกเขาชมเช่นกัน ดิฉันประทับใจกับการแสดงของพวกเขามากๆเลยล่ะค่ะ จากนั้นทางผู้บริหารและคุณครูโรงเรียนคุกูโนะกาพวกเราเดินชมรอบๆโรงเรียนและพาไปร่วมเรียนในวิชาต่างๆด้วยไม่ว่าจะเป็น ภาษาอังกฤษ,ดนตรีญี่ปุ่นที่เรียกว่าโคโตะ (Koto) และเขียนตัวอักษรด้วยพู่กัน เมื่อเสร็จจากกิจกรรมต่างๆที่โรงเรียนคุกูโนะ พวกเขาก็มีของที่ระลึกและบทเพลงประสานเสียงเป็นพิธีปิดกิจกรรมในวันนี้ นอกจากนี้พวกเราได้ถูกสื่อหนังสือพิมพ์และโทรทัศน์มาถ่ายและสัมภาษณ์ไปลงสื่อประจำจังหวัดด้วย สร้างความประทับใจและตราตรึงแก่พวกเราทุกคนเป็นอย่างมาก

14 ตุลาคม 2559 วันนี้ก็เป็นอีกหนึ่งวันที่เราได้ไปทัวร์กันที่ฟาร์มแอปเปิ้ลของตระกูลมิทซึโนะ(Mitsuno Family)  พวกเราได้ทดลองเก็บแอปเปิ้ลสดๆจากต้นแอปเปิ้ล แอปเปิ้ลของที่นู่นลูกใหญ่มากๆเลยค่ะ ทานลูกเดียวก็อิ่มเลย จากนั้นพวกเราก็เดินทางมาที่บ้านของตระกูลมิทซึโนะเพื่อประกอบอาหารที่จะเป็นอาหารกลางวันของพวกเราในวันนี้ ซึ่งอาหารที่พวกเราได้ลองทำกันก็คือข้าวปั้นห่อใบไม้หรือที่คนญี่ปุ่นเรียกว่าซาซาซูชิ (Sasasushi) และโมจิปิ้งหรือที่คนญี่ปุ่นเรียกว่าโกเฮโมจิ (Goheimochi) นั่นเองค่ะ เมื่อทำเสร็จและได้ลองทานรสชาติของอาหารอร่อยมากๆเลยค่ะไม่รู้ว่าทำออกมาได้อร่อยจริงๆหรือเพราะว่าทำเองกันแน่นะคะ เมื่ออิ่มจากอาหารเที่ยงกันแล้วพวกเราก็ได้ไปแวะเล่นลำธารแถวๆบ้านด้วยค่ะ ด้วยความขึ้นชื่อของที่เมืองนี้ว่าน้ำที่คนในเมืองบริโภคกันโดยส่วนใหญ่จะบริสุทธ์และสะอาดมากๆ ขอบอกเลยว่าจริงค่ะ ลำธารนั้นน้ำใสไปจนมองเห็นไปถึงพื้นเลยค่ะ ไม่เหมือนที่ประเทศไทยเลยใช่ไหมคะ หลังจากนั้นคุณลุงก็พาเรากลับไปยังศูนย์เยาวชน ค่ำวันนั้นมีกิจกรรมละลายพฤติกรรมร่วมกับเพื่อนๆชาวอินโดนิเซียและญี่ปุ่น พวกเราทำกิจกรรมสนุกกันมากมายทั้งเล่นเกมส์,ต่อบล็อกและทำความรู้จักซึ่งกันและกัน นับเป็นอีกวันที่มีความหมายมากๆเลยค่ะ

ญี่ปุ่น พวกเขาได้ให้ข้อคิดเห็นกับหัวข้อการอภิปรายของกลุ่มเราไว้ดีมากเลยค่ะ พวกเขาเล่าว่าประเทศญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีการนำพลังงานทดแทนมาใช้เยอะมาก ทั้งพลังงานแสงอาทิตย์,นำขยะและของเสียกลับมาผลิตเป็นพลังงานทดแทน ตามหมู่บ้านและที่สาธารณะเองก็มีการคัดแยกขยะเพื่อจำแนกส่วนที่จะนำไปใช้งานต่อได้ ดิฉันเองก็หวังว่าหลังจากที่พวกเราได้ฟังแล้วจะสามารถนำกลับมาปรับใช้กับประเทศไทยได้จริงๆในภายภาคหน้าค่ะ หลังจากการอภิปรายเสร็จสิ้น พวกเราก็ไปเดินซื้อของกันที่ Frespo Shopping Center มีร้านค้าให้ได้เลือกดูมากมายหลายร้านเลยค่ะ เมื่อเลือกซื้อของกันพอสมควรแล้วคุณลุงก็พาพวกเราเดินทางไปยังอำเภอจังหวัดเพื่อรอให้ครอบครัวอุปถัมภ์มารับค่ะ เย็นวันนั้นเป็นครั้งแรกที่ดิฉันไปอาศัยอยู่กับครอบครัวอุปถัมภ์ ซากิซังเรียนอยู่ชั้นม.3 ที่โรงเรียนคุกูโนะ เธอเป็นคนร่าเริงและคุยสนุก อาหารเย็นวันนั้นครอบครัวของเธอสอนฉันทานซาซิมิ (Sashimi) แบบคนญี่ปุ่นและทำทาโกยากิ (Tagoyaki) ทานเองที่บ้านเป็นอาหารมื้อแห่งความทรงจำเลยล่ะค่ะ ค่ำวันนั้นก่อนนอนดิฉันได้เล่าเรื่องราวมากมายเกี่ยวกับประเทศไทยและสอนภาษาไทยให้กับซากิซัง เธอตั้งใจเรียนมากเลยล่ะค่ะ จดทุกอย่างที่ดิฉันพูดแถมยังซื้อหนังสือท่องเที่ยวประเทศไทยมารอดิฉันไว้แล้วอีกด้วย ดิฉันบอกครอบครัวของซากิซังว่าหากมีโอกาสไปเที่ยวประเทศไทย ดิฉันจะขออาสาพาเที่ยวเองค่ะ รู้ตัวอีกทีก็หมดไปอีกวันกับทริปนี้เสียแล้ว

 

16 ตุลาคม 2559 เมื่อครอบครัวของซากิซังพาดิฉันกลับไปส่งที่อำเภอแล้ว ดิฉันและเพื่อนๆก็ออกเดินทางไป Hida World Wisdom Center ที่นั่นเป็นพิพิธภัณธ์ที่มีงานแสดงงานไม้,ของโบราณ,เก้าอี้โบราณและภาพวาดมากมาย มัคคุเทศก์ของพิพิธภัณธ์เล่าให้ดิฉันฟังว่าเฟอร์นิเจอร์ของเมืองฮิดะเป็นเฟอร์นิเจอร์ที่ขึ้นชื่อมาก เก้าอี้ที่ขายในงานนิทรรศการจึงมีราคาสูงมาก พิพิธภัณธ์วันนั้นมีงานเทศกาลฤดูใบไม้ร่วง (Autumn Festival) มีทั้งของใช้และอาหารมากมายจำหน่ายในงานพวกเราจึงสนุกกันมาก อาหารเที่ยงวันนั้นพวกเราได้ทานข้าวหน้าเนื้อฮิดะซึ่งเป็นอีกอาหารขึ้นชื่อของเมืองฮิดะ จากนั้นเพื่อนชาวญี่ปุ่นก็พาพวกเราเดินเที่ยวรอบๆเทศกาลเมืองทากายามะ ในงานเทศกาลนั้นพวกเราทุกคนได้รับความสนุกสนานและอเร็ดอร่อยไปกับของที่ระลึกและอาหารที่มีจำหน่ายมากมาย เป็นอันเสร็จสิ้นกิจกรรมไปอีกหนึ่งวัน

 

17 ตุลาคม 2559 วันนี้ก็เป็นอีกวันที่พวกเราไปเที่ยวกัน ซึ่งสถานที่ที่คุณลุงพาเราไปในวันนี้ก็คือฟาร์มหมี (Bear Farm) พวกเราได้ไปชมการแสดงโชว์ลูกหมีอายุ 1 ปี และเดินให้อาหารหมีรอบๆดิฉันและเพื่อนๆสนุกกันมากเพราะหมีที่ฟาร์มนั้นน่ารักกันมากๆเลยล่ะค่ะ จากนั้นเราก็ออกเดินทางอีกครั้งไปยัง Shin-Hotaka (Japanese Alps) เพื่อแวะทานอาหารเที่ยงก่อนจะขึ้นกระเช้าไปชมวิวบนยอดเขาเบนโตะในครั้งนี้ดีกว่าครั้งที่แล้วค่ะพวกเราจึงเอร็ดอร่อยกับอาหารมื้อนี้มากกว่ามื้อแรก จากนั้นเมื่อเราได้ขึ้นกระเช้าไปชมวิวที่ยอดเขา วิวสวยมากๆเลยค่ะช่วงแรกของการนั่งกระเช้าเราจะเห็นยอดเขาสีเขียวขจีกับป่าไม้มากมาย ดิฉันประทับใจมากๆเลยที่ประเทศญี่ปุ่นมีวิธีการอนุรักษ์ธรรมชาติได้ดีขนาดนี้ พอนั่งกระเช้าขึ้นไปสูงขึ้นรอบๆกระเช้าก็จะเต็มไปด้วยหมอกและเมฆเนื่องจากอากาศวันนั้นมีฝนตกปรอยๆ เมื่อไปถึงจุดชมวิวพวกเราจึงไม่เห็นอะไรเลยนอกจากหมอกและเมฆแต่ดิฉันก็ยังดีใจที่อย่างน้อยได้ขึ้นมาสูดอากาศดีๆบนยอดเขาโฮทากะ (Hotaka Mount.)

18 ตุลาคม 2559 วันสุดท้ายที่ศูนย์เยาวชนโนริคูระ วันนี้พวกเราไม่ได้ออกไปไหนแต่ใช้เวลาทำ Presented Board ในช่วงเช้าเพื่อเตรียมตัวไปนำเสนอหัวข้ออภิปรายที่พวกเราได้หารือกับนักเรียนชาวญี่ปุ่นที่โตเกียวในวันพรุ่งนี้ จากนั้นพวกเราก็ไปเรียนทำดอกไม้ด้วยแป้งโมจิ (Hana-Mochi) พอทำเสร็จคุณลุงก็สอนพวกเราทำโมจิที่ทานได้เพื่อทานเป็นอาหารกลางวัน ดิฉันเองก็เพิ่งจะรู้ว่าโมจิสามารถทานได้กับอาหารหลายแบบ ทั้งราดซอสและทานกับซุปมิโซะ จากนั้นช่วงค่ำพวกเราก็มีงานเลี้ยงอำลา (Memorial Meeting) ภายในงานพวกเราก็แสดงระบำดอกบัวอีกครั้งเพื่อนๆชาวอินโดนิเซียก็แสดงการแสดงประจำชาติเขาเช่นกัน นอกจากพวกเราและพนักงานโนริคูระแล้วยังมีครอบครัวอุปถัมภ์ของพวกเรามาร่วมงานอีกด้วย ดิฉันซาบซึ้งกับมิตรภาพที่ได้จากที่นี่มากๆเลยค่ะและยังหวังว่าจะได้กลับมาที่โนริคูระอีกครั้ง

19 ตุลาคม 2559 วันนี้พวกเราออกเดินทางไปศูนย์เยาวชนนานาชาติ (National Youth Center) ดิฉันจำได้ว่าการเดินทางครั้งนั้นยาวนานมากๆเพราะจากทากายามะไปโตเกียวก็เป็นระยะทางไกลพอสมควร เที่ยงวันนั้นอาหารเที่ยงของพวกเราก็เป็นเบนโตะครั้งที่สามของทริปกว่าจะรู้ตัวอีกทีดิฉันก็ชินกับการทานเบนโตะไปซะแล้ว เมื่อเมื่อเดินทางไปถึงโตเกียวพวกเราก็แวะสถานเอกอัครราชฑูตไทย ณ กรุงโตเกียว (Royal Thai Embassy) เพื่อลงนามถวายความอาลัยแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช จากนั้นก็เดินทางไปที่ศูนย์เยาวชนนานาชาติ หลังจากเก็บกระเป๋าเสร็จก็ได้ไปพูดคุยหารือกับล่ามภาษาอังกฤษที่จะมาแปลการนำเสนอในวันพรุ่งนี้ต่อด้วยการฟังบรรยายกิจกรรมในวันพรุ่งนี้และกฎระเบียบในการใช้สถานที่ศูนย์เยาวชนนานาชาติ เมื่อถึงเวลาทานอาหารเย็นดิฉันกับเพื่อนๆทั้ง 4 ประเทศได้ทานอาหารเย็นร่วมกันเป็นปาร์ตี้ต้อนรับเพื่อที่เราจะได้รู้จักกันมากขึ้นก่อนจะร่วมชมงานนำเสนอและเสนอข้อคิดเห็นให้กันและกันในวันพรุ่งนี้ ดิฉันได้เพื่อนใหม่มากมายและมีความสุขกับค่ำวันนั้นมาก

 

20 ตุลาคม 2559 เวลาผ่านไปเร็วจนเดินทางมาถึงวันสุดท้ายของทริปแล้ว ดิฉันและเพื่อนๆตื่นตั้งแต่เช้าเพื่อเตรียมตัวสำหรับการนำเสนอในวันนี้ พวกเรารับประทานอาหารเช้าที่ห้องอาหารของศูนย์เยาวชนนานาชาติ อาหารเช้าของที่นี่คล้ายคลึงกับที่ศูนย์เยาวชนโนริคูระแต่ก็คงไม่มีที่ไหนสู้โนริคูระได้อีกแล้วล่ะค่ะ สำหรับดิฉันคงเป็นเพราะความผูกพันที่ดิฉันมีต่อที่นั่นมากกว่าและดิฉันก็มั่นใจอย่างยิ่งว่าเพื่อนๆคนไทยก็ต้องรู้สึกอย่างเดียวกันกับดิฉัน เมื่อถึงเวลาของการนำเสนอ ดิฉันประทับใจกับความคิดและวิธีการนำเสนอของเพื่อนๆอีก 4 ประเทศมากเลยค่ะ พวกเขามีความคิดที่แปลกใหม่และน่าสนใจมากสำหรับดิฉันนับว่าเป็นการนำเสนอที่สูสีกันทุกคนเลยล่ะค่ะ เมื่อการนำเสนอของทุกๆประเทศจบลงก็ถึงเวลาที่เพื่อนๆคนญี่ปุ่นจะต้องเดินทางกลับทากายามะแล้ว เป็นการจากลาอีกครั้งที่ดิฉันและเพื่อนๆเศร้ามากๆ ดิฉันเองก็หวังว่าจะมีโอกาสได้พบพวกเขาอีกครั้งรวมไปถึงครอบครัวอุปถัมภ์ของดิฉันด้วย หลังจากนั้นตัวแทนผู้ดูแลจากศูนย์เยาวชน คุณโยโกะ ก็พาดิฉันและเพื่อนๆออกไปเที่ยวและซื้อของในฮาราจูกุและชิบูย่า (Harajuku and Shibuya) พวกเราสนุกและมีความสุขกับวันสุดท้ายของทริปนี้มากเพราะวันพรุ่งนี้จะเป็นวันที่ต้องเดินทางกลับประเทศไทยตั้งแต่เช้า พวกเราทั้งหยอดกาชาปอง, ไปอะนิเมต (Animate), ซื้อเครปที่ฮาราจูกุและทำอีกหลายสิ่งหลายอย่างร่วมกัน จากนั้นก็เดินทางกลับศูนย์เยาวชนเตรียมเก็บกระเป๋ากลับ “บ้าน” ของเรา

21 ตุลาคม 2559 ในที่สุดวันสุดท้ายที่สุดท้ายจริงๆของการเดินทางครั้งนี้ก็มาถึง ดิฉันสัมผัสได้เลยว่าบรรยากาศโดยรอบมีแต่ความโศกเศร้าของเพื่อนๆที่จะต้องจากกัน พวกเราเดินทางด้วยรถบัสจากศูนย์เยาวชนนานาชาติตั้งแต่เช้าไปสนามบินนาริตะ (Narita Airport) อาหารเช้าวันนี้ก็ยังคงเป็นเบนโตะแต่พิเศษตรงที่เป็นเบนโตะครั้งสุดท้ายแล้ว เมื่อเดินทางมาถึงสนามบินนาริตะ พวกเราก็ร่ำรากันอย่างจริงจังก่อนจะแยกกัน ดิฉันเศร้าอย่างบอกไม่ถูกเลยค่ะ ตั้งแต่มาสมัครเข้าร่วมโครงการนี้ไม่เคยคาดหวังว่าจะได้รับความรู้สึกนี้ มันคือมิตรภาพและความผูกพันแบบที่เกิดขึ้นเองโดยไม่รู้ตัว ดิฉันรู้เพียงแต่ว่าคงจะต้องเก็บเกี่ยวเวลาที่ยังเหลืออยู่ให้ได้มากที่สุดเพราะแม้แต่เพื่อนคนไทยกันเองก็ไม่รู้ว่าจะได้พบกันอีกหรือเปล่า  หลังจากที่เครื่องบินได้เคลื่อนตัวออกจากสนามบินนาริตะ การเดินทางครั้งนี้ของดิฉันก็จบลงเพียงเท่านี้: )

ดิฉันขอขอบคุณโครงการ N.I.Y.E ที่ได้มอบความทรงจำ ประสบการณ์ เพื่อน ความรู้ และ มิตรภาพดีๆที่ไม่อาจจะหาได้จากที่ไหนอีก ไม่ว่าจะใครก็ตามที่ได้พบเจอกันในการเดินทางครั้งนี้ เขาเหล่านั้นได้ย้ายเข้ามาอยู่ในความทรงจำของดิฉันแล้วและจะอยู่ตลอดไปค่ะ

ด.ญ.สริตา ชอบสอาด (แจมมี่)

นักเรียนในโครงการ N.I.Y.E ประจำปี 2559

Bottom as

LEAVE A REPLY

Please enter your comment!
Please enter your name here