บทสัมภาษณ์ นายวรินทร แซ่อั๊ง นักเรียนทุน N.I.Y.E 2016

0
1116

เหตุการณ์ที่สำคัญๆมากเหตุการณ์หนึ่งย่อมได้มาซึ่งประสบการณ์และประสบการณ์

นั้นอาจจะเป็นสิ่งที่เปลี่ยนชีวิตเรา……ตลอดกาล

นายวรินทร  แซ่อั๊ง  NIYE 2016

เช้าวันที่ 11ตุลาคม 2559 เครื่องบินของผมก็ได้ลงจอดที่สนามบินในเขตเมืองนาโกย่ากับเพื่อนชาวไทยอีกทั้งหมด  6 คนรวมตัวผมด้วยจะเป็น 7 และเราก็ได้เจอกับ

เพื่อนต่างชาติอีกทีมหนึ่งก็คือทีมอินโดนีเซียแต่ว่าทางทีมอินโดนีเซียมีอีกคนไม่ได้มาเป็นผู้ชายทำให้ในตอนนั้นมีผู้ชายเพียง 3คนเท่านั้นครับ โดยสิ่งที่ผมคิดว่าน่าสนใจมากที่สุดสำหรับวันแรกนั่นก็คือ อ่างอาบน้ำครับ

และแล้วก็ผ่านคืนแรกไป……(คืนนั้นผมนอนเวลาประมาณ 5ทุ่ม) และเมื่อถึงเวลาที่เราจะต้องตื่นนั่นก็คือเวลาประมาณ 6 โมงครึ่ง ทางทีมงานจะปลุกด้วยการเปิดเพลง

Totoro แต่วันนั้นเป็นวันเดียวครับที่ผมไม่ตื่นด้วยเพลงนี้เนื่องจากการไม่คุ้นเคยกับสถานที่(มั้ง5555) ทำให้วันนั้นผมและน้องเปี๊ยะตื่นโดยการเคาะห้องอันดังลั่นของ

เพื่อนชาวอินโดนีเซียเพราะของใช้ของผู้ชายทั้งหมดอยู่ในห้องเดียวกัน แต่เขาไม่ได้ได้นอนกับพวกผมในคืนนั้นจึงทำให้การปลุกในเช้าวันแรกผ่านไปด้วยดี…..

หลังจากที่พวกผมได้ทำกิจวัตรประจำตัวในตอนเช้าเสร็จเรียบร้อยแล้วทาง Norikura ก็ได้พาพวกเราไปยังสถานที่ที่ผมคิดว่าน่าจะเป็นที่ว่าการอำเภอเพื่อไปพบ

กับนายอำเภอของจังหวัด Takayamaซึ่งในสถานที่นี้ผมซึ่งเป็นตัวแทนแบบงงๆก็ต้องออกไปพูดว่ามาที่นี่เพื่ออะไร คิดว่ามาแล้วจะได้อะไรกลับไปบ้างซึ่งทั้งหมดนี้ถ้าให้ผม

พูดเป็นภาษาไทยมันจะเป็นสิ่งที่ง่ายมาก แต่ว่าเขาให้พูดเป็นภาษาอังกฤษ!!!!เลยทำให้การพูดในตอนนั้นเป็นไปอย่างยากลำบากเพราะผมต้องคิดคำพูดเป็นภาษาไทย

แล้วต้องแปลออกมาเป็นภาษาอังกฤษ แต่ก็โชคดีที่เพื่อนๆในทีมผมมีความเมตตา คอยช่วยเหลือผมทุกครั้งเวลาที่คิดไม่ออก 555เลยทำให้ผลงานออกมาดีระดับนึง

(หรือเปล่า?) แต่หลังจากนั้นพวกเขาก็ได้พาเราไปเที่ยวที่ Shirakawa-goหรือเรียกง่ายๆว่าหมู่บ้านที่เป็นมรดกโลก ที่ที่ผมคิดว่าถ้าให้ผมอยู่ทั้งวันผมก็คงไม่เบื่อครับ

เมื่อกลุ่มของพวกเราได้ไปถึงสถานที่แล้วในตอนนั้นก็เป็นเวลาเที่ยงเราเลยได้กินข้าวเที่ยงกันในร้านอาหารแถวๆนั้นครับ

พอมาถึงวันที่ 3ผมก็ได้เดินทางไปยังโรงเรียน Kugunoในเขตเมือง Takayama เพื่อไปเข้าเรียนร่วมกับเด็กญี่ปุ่นและได้แสดงวัฒนธรรมไทยให้กับเพื่อนๆชาวญี่ปุนดูครับ

หลังจากที่ได้แสดงแล้วก็ถึงเวลาที่จะต้องเข้าห้องเรียนสักทีนี่คือรูปบางส่วนครับ

และแล้วก็มาถึงวันที่ 4 ในตอนนั้นผมรู้สึกว่าเวลามันผ่านไปเร็วมาก ผิดจากวันแรกอย่างเหลือเชื่อแต่เอาเถอะผมก็ใช้มันอย่างดีที่สุดครับ (เริ่มเข้าสู่โหมดลดเวลา

นอน….) โดยวันนี้เราก็ได้ไปเก็บแอปเปิลที่สวนของคุณตากับคุณยาย ท่านให้เราเก็บแอปเปิลลงมาให้หมดทั้งต้น ซึ่งดูเป็นงานที่ไม่ค่อยยากเท่าไหร่แต่พอมาถึงเวลาจริง

ก็….เอาเรื่องอยู่เหมือนกันโดยเฉพาะไอลูกที่อยู่สูงๆกว่าจะเอาลงมาได้มันช่าง…

และแล้วก็ถึงเวลาที่พวกเราจะต้องพักกินข้าวเที่ยงโดยเมนูในวันนี้ส่วนใหญ่จะมีส่วนผสมของแอปเปิลและข้าวปั้น แต่รวมๆแล้วก็อร่อยดีครับ

พอจะถึงเวลาที่ต้องกลับที่พักคุณยายก็ได้พาพวกผมไปยังแม่น้ำสายหนึ่งที่ตื้นจนสามารถลงไปเดินเล่นได้ คราวนี้ผมเป็นคนที่ชอบการเดินเล่นอยู่แล้วก็ได้ลงไปเดิน

ตามก้อนหินต่างๆกระโดดไปกระโดดมาจนไปถึงบริเวณกลางแม่น้ำโดยไม่เปียกและก็มีคนอยากตามมาแต่ทุกคนก็ได้พลาดท่าให้กับอุปสรรคนั่นคือเปียกน้ำกับหมด

ทุกคนเลยแต่คนที่น่าสงสารที่สุดก็คือแจมมี่เพราะเกือบจะไม่เปียกแล้ว แต่ดันโดนเพื่อนอินโดนีเซียชนจนทำให้รองเท้าตกไปข้าวหนึ่งครับ5555

ถ้ามีโอกาสไปที่นี่อีกครั้งผมตั้งใจจะไปหาคุณตาคุณยายสวนแอปเปิลครับ

และแล้วก็เข้าสู่ช่วงวันที่ 5 มีบางสิ่งบางอย่างเปลี่ยนแปลงไปจากการดำเนินชีวิตปกติของผมนั่นก็คือการเริ่มนอนตี 1และตื่นมาปลุกคนอื่นทุกเช้าตอน 6 โมงที่ดู

มาไกลมากจากวันแรกที่ต้องให้คนอื่นมาปลุก(ปล.จริงๆเป็นแบบนี้มาตั้งแต่ช่วงวันที่ 2แล้วครับ….)แต่เอาเถอะผมทำได้และผมไม่ป่วยก็พอ 555วันนี้เนี่ยเป็นวันที่ผม

ค่อนข้างตื่นเต้นนั่นก็คือจะได้อยู่ Homestay ที่บ้านคนญี่ปุ่นครับ ผมนั่งลุ้นทั้งวันเลยว่าจะได้โฮสต์แบบไหนและแล้วเวลานั้นก็มาถึง…

และนี่คือครอบครัวที่ผมมาอยู่ด้วยครับ เป็นครอบครัวที่ใจดีมากๆ และที่สำคัญพูดภาษาอังกฤษได้อยู่ในเกณฑ์ที่ผมฟังรู้เรื่อง 555 โดยในคืนนั้นเนี่ยเค้าได้จัดมื้อ

เย็นต้อนรับผมเป็นอย่างดีเลยครับ

และก็ผ่านมาจนถึงวันที่ 6วันที่ครึ่งเช้าค่อนข้างน่าเบื่ออีกวันหนึ่ง….โดยในวันนี้เราได้เข้าไปเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ Hidaและได้กินข้าวเที่ยงที่ร้านอูด้งแห่งหนึ่งที่ๆทำให้ผมชื่นชอบอูด้งเนื้อวัวครับ

หลังจากที่ได้กินข้าวเที่ยงแล้ว พวกเราก็ได้แยกย้ายกันไปเดินเที่ยวตามสถานที่ต่างๆในTakayamaครับโดยกลุ่มผมเป็นผู้ชาย 3คนและนี่คือรูปภาพบางส่วนของกิจกรรมนี้ครับ

วันที่ 7 วันที่ผมคิดว่าจะสนุกแต่ก็….

วันนี้ตามแผนก็คือพวกเราจะไปเที่ยวฟาร์มหมีและไปปีนยอดเขา Shin-Hotaka!!! เมื่อผมได้ยินผมตื่นเต้นมากที่จะได้ปีน…แม้ว่าตอนกลางคืนจะนอนเกือบตี 2 ก็ตามครับ

หลังจากที่ได้ชมการแสดงของหมีเป็นที่เรียบร้อยแล้วพวกเราก็ได้ขึ้นรถต่อไปยังภูเขา Shin-Hotakaอย่างรวดเร็วและเค้าก็บอกให้พวกเรานั่งกินข้าวรอแล้วเค้าจะ

ไปซื้อตั๋วนั่ง Rope way??? ในตอนนั้นผมสงสัยมากว่าจะซื้อตั๋วขึ้น Rope wayทำไมเพราะตัวเราอยากเดินขึ้นเองแต่ว่าก็ต้องทำตามเสียงส่วนใหญ่ แต่ผมก็คิดว่าสัก

วันหนึ่งผมจะต้องพิชิต Shin-Hotakaด้วยการเดินขึ้นให้ได้…

และกิจกรรมในวันนี้ก็จบลงเวลาประมาณ 4 โมงเย็นทำให้พวกเราได้มีเวลาจัดการ Presentation ได้อย่างเรียบร้อยซึ่งเป็นงานหลักของการมาญี่ปุ่นในครั้งนี้

(จริงหรอ?) และผมก็ได้มีจังหวะแปปนึงในการถามคุณลุงที่อยู่ในค่ายว่าเวลาที่ใช้เดินขึ้นภูเขาประมาณเท่าไหร่ เค้าตอบผมว่า 2 ชม.ทำให้ผมนึกในใจว่ามันต้องมี

โอกาสที่เราจะเดินขึ้นภูเขานี้จริงๆแน่นอนครับ555 หลังจากที่พวกเรามีเวลาว่างจนถึงอาบน้ำผมกับเพื่อนชาวอินโดนีเซียก็ไปยังโรงยิมและได้ตีแบตมินตันกัน เป็น

ประสบการณ์ที่สนุกมากขณะที่เพื่อนคนอื่นๆกำลังนอนครับ!!!!(ผมลืมถ่ายรูปโรงยิมมา…)

 

มาถึงวันสุดท้ายที่ Norikuraโดยในวันนี้พวกเราได้ทำกิจกรรมภายในศูนย์ฝึกนั่นทำให้ผมมีเวลาเก็บตกภาพที่ศูนย์เยาวชน Norikuraแห่งนี้ครับ

วันนี้พวกเราได้ทำ Hana Mochiเพื่อทำเป็นของประดับบ้านและทำ Mochi อีกชนิดเพื่อกินเป็นอาหารกลางวันครับ

กิจกรรมในครั้งนี้ทำให้ผมได้รู้ถึงความยากลำบากในการทำโมจิในสมัยที่ยังไม่มีเครื่องมือเข้ามาช่วยและได้ชิมโมจิของแท้แบบญี่ปุ่นที่กินกับซุปมิโสะก็อร่อยดี

และกิจกรรมในช่วงเย็นของวันนี้เป็นกิจกรรมที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้นเพราะมันบ่งบอกถึงช่วงเวลาที่เหลืออันน้อยนิดในศูนย์ฝึก(บ้าน)แห่งนี้….Memorial Meeting…

วันที่ 9  วันนี้พวกเราจะต้องออกจากบ้านหลังนี้และกลับเข้าไปใน Tokyo…เช้าวันนี้ผมตื่นขึ้นมาตอนตี 5 ครึ่งซึงเป็นเวลาที่เฉียดฉิวในการจัดกระเป๋ามากเพราะ

จะต้องใส่ชุดนอนลงไปและรถจะออกตอน 6โมงครึ่ง ผมจำเส้นทางได้ว่าเราเคยผ่านมาแล้วตอนไป Shin-Hotakaซึ่งผ่านมา 2วันแล้วแต่ผมยังรู้สึกเหมือนว่าพึ่งจะ

ผ่านเมื่อเช้าเอง(น้องๆรุ่นต่อไปจะทำอะไรก็รีบทำนะครับ เดี๋ยวจะพลาดโอกาสไป)เราใช้เวลาอยู่บนรถประมาณ  6ชั่วโมงและเมื่อถึงโตเกียวแล้วก็ได้ไปยังสถานทูต

ทันทีเมื่อเข้าไปยังสถานที่นั้นเราต่างสังเกตได้ถึงคนไทยจำนวนมากที่ใส่ชุดดำรอเข้าไปถวายความอาลัยแก่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศเป็นภาพที่

ผมไม่อยากให้เกิดขึ้นเลยหรือถ้าจะเกิดก็อยากให้เกิดในขณะที่เราอยู่ในประเทศไทยดีกว่า…

หลังจากที่ได้ถวายความอาลัยแล้วรถของพวกเราก็ได้นำไปยังที่พักหรือศูนย์โอลิมปิกในโตเกียวเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับปาร์ตี้ตอนเย็นครับ

หลังจากที่ปาร์ตี้ได้จบลงผมก็ได้เจอกับทีมกัมพูชาที่เป็น roommateของผมโดยในคืนนั้นผมได้ใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการจัดเตรียมงานนำเสนอวันพรุ่งนี้ซึ่งถือ

เป็นวัตถุประสงค์ที่สำคัญอย่างหนึ่งครับ

 

วันที่ 10นำเสนอผลงานและเดินเที่ยวในกรุงโตเกียว…วันนี้กิจกรรมถูกแบ่งเป็นครึ่งเช้านำเสนอและครึ่งบ่ายได้ไปเดิน shopping โดยใน

ส่วนของทีมไทยนั้นได้ลำดับการนำเสนอเป็นทีมรองสุดท้าย ทำให้พวกเราได้มีโอกาสในการสังเกตข้อผิดพลาดของทีมต่างๆและนำมาปรับให้ดีขึ้นและเมื่อถึงเวลาจริงพวกเราก็สามารถทำผลงานได้ออกมาเป็นอย่างดีครับ

หลังจากที่การนำเสนอได้จบลงพวกเราก็ได้ไปเดินเล่นต่อในเมืองโดยสถานที่ต่างๆนั้นพวกเรามีเวลาเพียงแค่ 5ชม.และเราได้เลือกที่จะไปเดินซื้อของฝากให้กับตัวเองและครอบครัวครับ

และแล้วก็ผ่านมาจนถึงวันสุดท้ายในญี่ปุ่นพวกเราออกเดินทางกันเวลา 6 โมงเช้าเพื่อที่จะไปให้ทันไฟล์ทบินของลาวที่เวลา 8โมงครึ่งที่สนามบินนาริตะ โดยที่

ไทยและอินโดนีเซียเป็น 2 ทีมสุดท้ายที่เครื่องบินออกนั่นก็คือเวลา 11.00 น.ทำให้พวกเรามีเวลาอยู่ด้วยกันมากกว่าทีมอื่นๆ อีกทั้งยังเป็นทีมที่อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่จุด

เริ่มต้นของค่ายเลยทำให้เวลาที่จะต้องจากกันทำเอาน้ำตาซึมกันเลยบางคนแต่ก็ไม่เป็นไรครับเพราะผมเชื่อว่าสักวันหนึ่งเราจะต้องมีโอกาสพบกันอีกอย่างแน่นอน

การที่ผมได้รับการคัดเลือกเข้ามาในโปรแกรมนี้ มันทำให้ผมได้เปลี่ยนแปลงตัวเองในหลายๆอย่าง เช่น การตื่นเช้า  การดูแลตัวเองให้อยู่รอด การฝึกใช้ภาษาและที่สำคัญคือความกล้า ที่ถ้าเกิดว่าเรามีเราจะสามารถทำได้เกือบทุกอย่างที่ไม่ผิดต่อกฎหมายหรือศีลธรรม และแน่นอนการที่เราจะมีสิ่งเหล่านี้เราจะต้องมีจุดหมาย

ที่แน่นอน จะทำเพื่อใครโดยที่การมาเข้าร่วมโปรแกรมของผมในครั้งนี้ ใครจะไปคิดว่าผมจะสามารถหาคำตอบได้ทั้งหมดว่าที่ผมทำไปผมทำเพราะอะไรหรือทำเพื่อใคร

เช่นการที่ผมยอมอดนอนหรือลดเวลาพักผ่อนและไปทำกิจกรรมอื่นๆร่วมกับเพื่อนๆต่างชาติ ถ้าผมไม่มีจุดประสงค์ผมก็คงจะนอนหลับหรือใช้เวลาที่มันว่างๆไปกับการนั่งเล่นโทรศัพท์และผมก็คงต้องกลับมาเสียใจในภายหลังแน่นอน

ดังนั้นสิ่งที่ผมประทับใจมากที่สุดในกิจกรรมครั้งนี้ไม่ใช่สถานที่หรือว่าตัวบุคคลแต่เป็นการประพฤติตัวของคนญี่ปุ่นที่เขาตรงต่อเวลามากและเป็นคนที่มีการแบ่งเวลาที่ดี ทำให้ผมชอบและตั้งใจจะนำมาปฏิบัติครับ…..

Bottom as

LEAVE A REPLY

Please enter your comment!
Please enter your name here