การเดินทางไปญี่ปุ่นครั้งนี้เป็นครั้งที่สองของการเดินทางในต่างประเทศของข้าพเจ้า แต่มันเป็นการใช้ชีวิตกับคนอื่นที่ไม่รู้จักเป็นครั้งแรก หากแต่ทั้งตัวข้าพเจ้ากลับรู้สึกสนุกไปพร้อมกับคนอื่นยิ่งนักแม้จะเพิ่งรู้จักกันไม่นาน พวกเราได้เดินทางไปในสิ่งที่ไม่รู้จักมาก่อนเช่นปราสาทนาโกย่า หอโทรทัศน์นาโกย่า พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ แถมยังได้มีโอกาสเยือนศาลาว่าการเมืองทาคายาม่าอีกด้วย
ที่น่าตื่นตาตื่นใจเป็นพิเศษคงจะเป็นตอนที่ร่วมใช้เวลากับนักเรียนโรงเรียนคุกุโนะ ซึ่งตัวแทนจากไทยและอินโดนีเซียได้มีโอกาสแสดงการแสดงประจำชาติให้เหล่านักเรียนมัธยมต้นทั้งแปดสิบเก้าคนได้รับชม ซึ่งทางคณะนักเรียนมัธยมต้นจากโรงเรียนมัธยมต้นคุกุโนะเองก็ได้แสดงการร้องประสานเสียงร่วมกับนักเปียโนโรงเรียนในการบรรเลงเพลงประจำโรงเรียนให้พวกเราได้รับชมรับฟังด้วย ซึ่งเป็นการแสดงให้เห็นถึงความสามารถของนักเรียนทุกคนที่พร้อมใจสามัคคีกันอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อนได้อย่างน่าประทับใจยิ่งนัก
หลังจากนั้น ในช่วงเช้า พวกเราจึงได้มีโอกาสรับชมการเรียนการสอนเป็นเวลาสามคาบเรียนก่อนจะถึงช่วงเวลาอาหารกลางวัน แต่ก็เป็นอีกเรื่องที่ข้าพเจ้ารู้สึกแปลกใจ เพราะว่าจะมีนักเรียนที่เป็นเหมือนเวรประจำวันคอยแจกอาหารให้นักเรียนคนอื่นก่อนจะกลับมาลงมือรับประทานอาหารอย่างพร้อมเพรียง
ช่วงพักกลางวัน ข้าพเจ้าถูกนักเรียนชายคนหนึ่งชื่ออัทสึชิที่เคยได้ร่วมชั้นเรียนกันในตอนเช้าชวนไปเล่นบาสเก็ตบอลด้วยกัน เพราะเหมือนว่าตอนนั้นเขาจะจำได้ว่าข้าพเจ้าเคยบอกว่าชอบเล่นกีฬาชนิดนี้ อีกแล้วที่ต้องรู้สึกประหลาดใจเพราะที่สนามบาสนั้นไม่อนุญาตให้นักเรียนที่ไม่ได้ใช้รองเท้าพละไปเล่นกีฬาได้ สาเหตุคงเป็นว่าเพื่อทะนุทนอมพื้นไม้ปาเกในสนามกระมัง เพราะพื้นสนามที่ข้าพเจ้าเห็นนั้นมันเรียบเงามากและดูเหมือนจะไม่มีรอยขีดขวนเลย อัทสึชิผู้ใจดีจึงให้ข้าพเจ้ายืมรองเท้าพละไปก่อนเพราะไซส์รองเท้าใกล้เคียงกัน ในตอนนั้นเองนอกจากนักเรียนชายญี่ปุ่นที่มาเล่นแล้วก็มีข้าพเจ้า เปรย (เพื่อนตัวแทนจากประเทศไทย) และบาซา (เพื่อนอีกคนตัวแทนจากอินโดนีเซีย)
พวกเราเล่นสนุกกันจนหมดเวลาพักเที่ยงอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นจึงเข้าเรียนร่วมชั้นกับนักเรียนมัธยมต้นต่ออีกสามคาบ ได้แก่วิชาเขียนพู่กันและของเล่นญี่ปุ่น (แต่ข้าพเจ้านึกอีกวิชาหนึ่งไม่ออก)
วิชาเขียนพู่กันนั้นเรียนกับนักเรียนชั้นมัธยมต้นปีหนึ่ง โดยข้าพเจ้านั่งตรงกลางระหว่างนักเรียนอีกสองคนเหมือนกับคนอื่น โดยชิโนะจะเป็นคนสาธิตการเขียนอย่างใกล้ชิด ส่วนคันนะเป็นคนให้ข้าพเจ้ายืมอุปกรณ์พร้อมช่วยจัดกระดาษหนังสือพิมพ์กันเปื้อนให้ อาจารย์ประจำวิชาดูเหมือนจะมีท่าทางเงอะงะนิดหน่อยเวลาพยายามจะพูดภาษาอังกฤษด้วย แต่ก็เป็นจุดที่น่ารักและน่าชื่นชมด้วยในเวลาเดียวกัน
อาจารย์ให้ลองเขียนชื่อประเทศของตัวเองและชื่อของตัวเองดูโดยให้นักเรียนที่ประกบทั้งสองข้างช่วย แม้จะเขียนยากซักหน่อยแต่ด้วยความช่วยเหลือของทั้งสองคน สุดท้ายก็ได้ชื่อของข้าพเจ้าออกมาจนได้ โดยตัว愛 (ไอ) มีความหมายว่ารัก ส่วน鈴 (ริน) มีความหมายว่ากระดิ่ง ก็เป็นชื่อที่ไม่เลวเลยทีเดียว หลังจากนั้นพวกเราจึงพากันไปล้างอุปกรณ์ก่อนจะไปเรียนวิชาถัดไป
อีกวิชาหนึ่งก็คือของเล่นญี่ปุ่น แปลกแต่จริงซึ่งแบ่งกลุ่มกันเป็นเหมือนการเข้าฐาน ซึ่งมีโอริกามิ การพับกระดาษ เคนดามะ และโอเทดามะหรือก็คือการเล่นโยนบอลหลายลูกสลับไปมาในเวลาเดียวกัน เพียงแต่ของญี่ปุ่นจะเป็นลูกบอลไหมพรมไม่ก็ถุงกลมๆที่ทำจากผ้าแทน
หลังจากการเข้าร่วมการเรียนกับโรงเรียนมัธยมต้นคุกุโนะแล้วเรายังได้มีโอกาสเก็บแอปเปิ้ลสดๆจากต้นและทำอาหารพื้นบ้านอย่างข้าวปั้นห่อใบซาซาและโมจิข้าวย่าง ได้มีโอกาสถกเรื่องวัฒนธรรมกับนักเรียนในเมืองฮิดะและทาคายามะ ได้ซื้อของฝากเดินที่เมืองเก่าและได้ไปหมู่บ้านฮิดะพร้อมกับได้ทำไม้สานอีกด้วย
และแล้วก็ถึงการค้างคืนกับโฮสต์แฟมมิลี่ชาวญี่ปุ่น ซึ่งโฮสต์ของข้าพเจ้าคือครอบครัวนากาบายาชิ ประกอบด้วยคุณพ่อคุณแม่ ลูกสาวคนโต มายุ (16) ลูกสาวคนกลาง อายาเนะ (13) และลูกชายสุดท้อง โซมุ (11) ที่ไม่คาดคิดก็คือการที่เปรยเองก็ได้โฮสต์เดียวกันกับข้าพเจ้าด้วย แต่ก็ทำให้กิจกรรมในครอบครัวนี้สนุกขึ้นเช่นกัน
แม้จะแค่ช่วงสั้นๆ แต่ก็เป็นช่วงเวลาที่อบอุ่นมาก หลังจากนั้นคุณพ่อจึงขับรถพาข้าพเจ้าและเปรยไปที่สถานที่นัดพบกับงานเลี้ยงส่งลา (Farewell Party) พวกเราได้มีการแสดงประจำชาติกันด้วยก่อนที่จะลาจากกัน
วันต่อมา เหตุไม่คาดฝันก็คือไต้ฝุ่นเข้า ดังนั้นรุ่นเราจึงพลาดโอกาสที่จะได้ไปชิราคาว่าโกะอย่างน่าเสียดาย ทำให้ต้องเข้าพักที่โรงแรมอื่นก่อนเป็นการฉุกเฉิน เช้าต่อมาจึงรีบเข้าเมืองเลยเพราะทางด่วนมีต้นไม้โค่น
จากการเดินทางเหล่านี้ทำให้ข้าพเจ้าได้เรียนรู้ถึงหลายเรื่อง ทั้งวัฒนธรรมต่างๆที่ไม่เคยเห็น ภัยธรรมชาติที่ไม่คาดคิด การใช้ชีวิตที่แตกต่างกันและปัญหาในการสื่อสารในบ้างครั้ง แต่ก็นั้นแหละคือสิ่งที่น่าดึงดูดและน่าเรียนรู้ของญี่ปุ่น ยังมีสิ่งที่เรายังไม่รู้อีกมาก และในความคิดของคนที่เป็นหนึ่งในคนที่ชอบประเทศนี้ ภาษาถือเป็นสิ่งสำคัญในการสื่อสารทั้งข้อมูลและวัฒนธรรม ถ้ามีโอกาสได้มาเยือนอีกครั้งไม่ว่าจะมาเรียนหรือมาเที่ยว ครั้งต่อไปข้าพเจ้าจะเตรียมตัวในเรื่องภาษาให้แน่นมากกว่านี้เพื่อจะได้มีรับความรู้และประสบการณ์ให้เต็มที่อย่างมากกว่าเดิมแน่นอนค่ะ